วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ห้องประชุมของโรงแรมรัตนชล อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี นายพงศ์ธสิษฐ์ ปีจนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานเปิดงาน พร้อมจัดเวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ "Safe Zone: รวมพลังปกป้องใจเยาวชนจาก Bullying" เพื่อสร้างความตระหนักรู้และแลกเปลี่ยนแนวทางการแก้ไขปัญพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีนางศิรทิพย์ ภาศรีสมบัติ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 2 ชลบุรี กล่าวรายงาน
มีผศ. ดร.พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ รองคณบดีฝ่ายนักศึกษา และการเรียนรู้คณะสังคมสงเคราะห์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร. เทียนชัย สุริมาศ อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร.ต. ภาม พุฒิพรม ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนชลบุรี “สุขบท ” และนางจิตรลดา ทิมาบุตร นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ให้การต้อนรับ
งานวิจัยครั้งนี้จัดทำโดย สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 2 ใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี (Mixed Method Research) เพื่อศึกษาสถานการณ์การกลั่นแกล้งของเด็กและเยาวชนในจังหวัดชลบุรี เป็นการศึกษาแนวทางการรับมือและการป้องกันจากการกลั่นแกล้งในเด็กและเยาวชน และศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในภาวะเปราะบางจากการถูกกลั่นแกล้ง โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กและเยาวชนจำนวน 907 คน อายุ 13-25 ปี ในพื้นที่ 11 อำเภอของจังหวัดชลบุรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบข้อมูลน่าตกใจว่า ร้อยละ 93.2 ของเด็กและเยาวชนในจังหวัดชลบุรี กับการถูกกลั้นแกล้งอย่างน้อย 1 รูปแบบ และ ร้อยละ 88.7 ยอมรับว่าเคยเป็นผู้กระทำการกลั่นแกล้งผู้อื่น รูปแบบการกลันแกล้งที่พบบ่อยที่สุท ได้แก่ การล้อเลียน กรรมขู่ ทำให้เป็นตัวที่ตลก ไปการกลั่นแกล้งผ่านโลกออนไลน์ (Cyberbullying) ผลวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็น LGBTQIAN+ เป็นผู้ถูกกลั่นแกล้ง (ร้อยละ 97.5) และเป็นผู้กลันแกล้ง (ร้อยละ 91.3) มากที่สุด และช่วงอายุที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ อายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างระบบคุ้มครองที่มีประสิทธิภาพ
ทางด้านนายพงศ์ธสิษฐ์ ปิจนันห์ รอง ผวจ.ชลบุรี กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาระบบการคุ้มครองเด็กในภาวะเปราะบางในชุมชนกรณีศึกษาพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง (Bulying) ของเด็กๆและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชลบุรี การใช้ความรุนแรงหรือการกลั่นแกล้งของเด็กและเยาวชนในประเทศไทย ติดอันดับ 2 ของโลก รองลงมาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเด็กส่วนใหญ่พบการถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน เช่น การตบหัว ถูกล้อบุพการี และการถูกเหยียดหยามประกอบกับปัจจุบันเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงและใช้สื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ทำให้อาจจะประสบปัญหาการกลั่นแกล้งได้ทุกที่ทุกเวลาโดยสิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือ ความคุ้นชินต่อการกลั่นแกล้ง อาจพัฒนาไปสู่ค่านิยมผิดๆ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่และจากข้อมูลงานวิจัยในจังหวัดชลบุรี พบว่า เด็กอายุ 18 ปีขึ้นไป เคยถูกกลั่นแกล้งมากที่สุด รองลงมาคือเด็ก ช่วงอายุ 13-17 ปี โดยพบว่า เด็กที่เป็น LGBTQIAN + ถูกกลั่นแกล้งมากที่สุด รองลงมาคือเพศชาย และเพศหญิง ด้านพฤติกรรมการกลันแกล้งส่วนใหญ่ เด็กและเยาวชนถูกทำให้เป็นตัวตลก ถูกล้อเลียน รองลงมาคือ ถูกดูถูกและด่าทอ และถูกข่มขู่ หรือถูกนินทา ซึ่งเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ ต่างเคยพบเห็นผู้อื่นถูกกลั่นแกล้งอย่างน้อย 1 รูปแบบ นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ยอมรับว่าเป็นผู้กลั่นแกล้งผู้อื่นโดยส่วนใหญ่มักใช้วิธีข่มขู่ หรือนินทาผู้อื่น รองลงมาคือ ทำร้ายร่างกายคนอื่น และจับอวัยวะ ส่วนตัวของผู้อื่น โดยไม่ยินยอม เพื่อหยอกล้อ กับ ล้อ หรือทำให้ผู้อื่นเป็นตัวตลก ซึ่งสาเหตุมาจากทัศนคติของเด็กต่อการกลั่นแกล้ง การเลียนแบบพฤติกรรม การสร้างการยอมรับในกลุ่มเพื่อน ความสัมพันธ์ในครอบครัว และการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เราจะช่วยกันส่งเสริมแนวทางการรับมือของโรงเรียนและชุมชน ด้วยการบูรณาการการทำงานระหว่างโรงเรียน ชุมชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมมาตรการเชิงป้องกัน เช่น ผลักดันนโยบายคุ้มครองเด็ก และ การจัดกิจกรรมการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการเคารพสิทธิของตนเองและผู้อื่นมาตรการเชิงส่งเสริมและสนับสนุน เช่น การพัฒนาบริการที่จำเป็นสำหรับเด็กในการสร้างระบบไกล่เกลี่ยที่ให้ความเป็นธรรมมาตรการการคุ้มครอง เช่น การพัฒนาระบบหรือกลไกสำหรับการส่งต่อ การติดตามเยียวยาเด็กที่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองร่วมกับทีมสหวิชาชีพ